บันทึกการเรียนรู้ ➤ ครั้งที่ 8
วันอังคารที่ 6 มีนาคม พ.ศ.2561
หลังจากนั้นอาจารย์ได้พูดถึงบทที่จะเรียนแต่ก่อนจะเข้าสู่เนื้อหาอาจารย์ได้แบ่งกลุ่มบทบาทสมมติ ให้ตัวแทนของแต่กลุ่มออกมา 1 คน เป่ายิ้งฉุบกันเพื่อจะเลือกหัวข้อที่จะแสดงมีทั้งหมด 4 หัวข้อ
วิธีการอบรมเลี้ยงดูเด็ก จัดได้ 4 วิธี
วิธีที่ 1 การอบรมเลี้ยงดูเด็กแบบความรักความอบอุ่นแบบประชาธิปไตย
วิธีที่ 2 การอบรมเลี้ยงดูเด็กแบบคาดหวังเอากับเด็ก
วิธีที่ 3 การอบรมเลี้ยงดูเด็กแบบปล่อยปละละเลย
วิธีที่ 4 การอบรมเลี้ยงดูเด็กแบบรักถนอมมากเกินไป
เป็นการอบรมเลี้ยงดูลูก ซึ่งได้แก่ ความรัก ความเอาใจใส่ ความเข้าใจ ต้องใช้เหตุผลกับลูกให้ลูกรู้สึกว่าได้รับการปฏิบัติด้านความยุติธรรม และไม่ใช้เพียงแต่ให้ความรักอย่างเดียว ต้องให้ความสำคัญแก่ลูก โดยถือว่าลูกคือส่วนสำคัญต่อครอบครัว พ่อแต้องให้ในสิ่งที่ลูกต้องการจริง ๆ
☺ข้อแนะนำในการให้อาหารเสริมทารก
☺การให้ภูมิคุ้มกันโรค
☺การป้องกันอุบัติเหตุในวัยทารก
-จัดสภาพแวดล้อมให้เหมาะกับการนอน
-การกำหนดเวลาจะช่วยให้เด็กเคยชินและนอนได้นานๆ
4.การฝึกนิสัยการอาบน้ำแต่งตัว
-การอาบน้ำ เมื่อถึงเวลาอาบน้ำให้เตือนล่วงหน้า 5 นาที เตรียมเครื่องใช้ให้พร้อม ควรสอนวิธีการอาบน้ำ
-การแต่งตัว ควรให้เด็กแต่งตัวเอง
❤❤❤การฝึกให้เด็กอาบน้ำแต่งตัวได้เอง จะทำให้เด็กเกิดความเชื่อมั่นในตนเองและรู้สึกอิสระ จะทำให้ทีความภาคภูมิใจในตัวเอง ลดการพึ่งพาผู้ใหญ่ ช่วยตัวเองได้เร็วขึ้น
☺บทบาทของพ่อแม่ในการจัดสภาพแวดล้อม
1.จัดสภาพแวดล้อมภายในบ้านให้ร่มรื่น
2.สร้างสภาพแวดล้อมให้อยู่รอบตัวเด็ก ให้เด็กสามารถดูดซึมค่านิยมที่ต้องการปลูกฝังเองได้
3.จัดให้เด็กได้ใกล้ชิดกับบุคคลแวดล้อม
4.จัดโอกาสให้เด็กได้ศึกษาหาประสบการณ์
5.แสวงหาแบบอย่างวัฒนธรรมที่ดีงาม
6.เสนอเรื่องราวหรือเหตุการณ์ปัญหาที่แวดล้อมเด็กสนใจ นำมาสนทนากัน
2.การสอนเรื่องเพศ
เวลา 08.30-11.30น.
ความรู้ที่ได้รับ
ในการเรียนการสอนสำหรับวันนี้ก่อนที่จะเข้าเนื้อหาที่จะเรียนอาจารย์ได้พูดถึงเรื่องที่มาช่วยบูมรุ่นพี่ที่จบไปแล้ว ในวันนั้นเป็นวันซ้อมพระราชทานปริญญาบัตร อาจาย์บาสให้ดาวเด้กดีสำหรับคนที่ไปช่วยในวันนั้น คนละ 2 ดวง
![]() |
ใบเช็คเวลาเรียน |
วิธีการอบรมเลี้ยงดูเด็ก จัดได้ 4 วิธี
วิธีที่ 1 การอบรมเลี้ยงดูเด็กแบบความรักความอบอุ่นแบบประชาธิปไตย
วิธีที่ 2 การอบรมเลี้ยงดูเด็กแบบคาดหวังเอากับเด็ก
วิธีที่ 3 การอบรมเลี้ยงดูเด็กแบบปล่อยปละละเลย
วิธีที่ 4 การอบรมเลี้ยงดูเด็กแบบรักถนอมมากเกินไป
ส่วนกลุ่มของหนูได้วิธีที่ 3 การอบรมเลี้ยงดูเด็กแบบปล่อยปละละเลย จะทำเป็นแบบวิดีโอเพื่อจะนำเสนอ และอาจารย์ก็ได้บอกแนวข้อสอบที่จะสอบในสัปดาห์ถัดไป
![]() |
บรรยากาศการเลือกหัวข้อบทบาทสมมติ |
อาจารย์บาสก็ได้เข้าเนื้อหาบทเรียน
บทที่5 การอบรมเลี้ยงดูเด็กปฐมวัย
❤รูปแบบของการอบรมเลี้ยงดูเด็กปฐมวัย
☺ความหมายของการอบรมเลี้ยงดูเด็กปฐมวัย
การอบรมเลี้ยงดูเด็ก
หมายถึง การที่บิดา มารดา หรือบุคคลที่เกี่ยวข้อง ในการเลี้ยงดูเด็ก
ปฏิบัติต่อเด็กที่ยังไม่สามารถช่วยเหลือตนเองได้ ให้เจริญเติบโต
และมีพัฒนาการทั้งด้านร่างกาย อารมณ์-จิตใจ สังคม และสติปัญญา
ซึ่งผู้อบรมต้องอบรมด้วยความรัก ความเข้าใจ และปรับวิธีการอบรมเลี้ยงดูเด็กอย่างเหมาะสม
ให้เข้ากับสภาพการเปลี่ยนแปลงของสังคม เพื่อให้เด็กเติบโตเป็นคนดี
สามารถเผชิญกับสภาพการณ์ของสังคม และอยู่ร่วมกันกับผู้อื่นได้อย่างมีความสุข
☺ความสำคัญของพ่อแม่ในการอบรมเลี้ยงดู
คุณภาพและประสิทธิภาพของมนุษย์ขึ้นอยู่กับพัฒนาการของแต่ละคนตามวัยต่างๆโดยเฉพาะบุคคลในวัยทำงานนั้นจะมีคุณภาพและประสิทธิภาพเท่าใดก็ขึ้นอยู่กับการเรียนรู้ การฝึกฝน และประสบการณ์ที่ต่อเนื่องกันตั้งแต่แรกเกิดถึงวัยปัจจุบัน การเรียนรู้ครั้งแรกของมนุษย์ขึ้นอยู่กับการเลี้ยงดูของพ่อแม่ โดยถือว่าพ่อแม่ คือ ครูคนแรกของลูก
☺ความจำเป็นที่ต้องมีพ่อ
1.เด็กต้องเห็นแบบอย่างของผู้ใหญ่ชาย
2.พ่อเป็นแบบที่ดีให้ลูกชาย
3.เด็กหญิงจะได้รับบทบาทของผู้ชาย
4.พ่อช่วยปลูกฝังลักษณะทั่วไปให้แก่ลูก คือ ความเข้มแข็งบึกบึน
5.พ่อที่สนิทสนมกับลูกชาย มีโอกาสที่จะพูดคุยกันอย่างลูกผู้ชาย
6.ความสัมพันธ์ที่ดีระหว่างลูกชายกับพ่อจะช่วยให้ลูกได้เรียนรู้วิธีผูกมิตรไมตรีกับชายอื่นที่เขาต้องสมาคมด้วย
7.ความเข้มแข็ง เป็นหัวหน้าครอบครัว เป็นผู้นำในเรื่องต่างๆจะช่วยให้ลูกชายเกิดศรัทธาและอยากเลียนแบบเช่นนั้นบ้าง
☺ความจำเป็นที่ต้องมีแม่
1.คอยดูแลให้ปฎิบัติตามระเบียบแบบแผน
2.ช่วยปลูกฝังนิสัยการกินที่ดี
3.สอนให้รักษาความสะอาด
4.คอยฝึกฝนกิริยามารยาทที่ดีงาม
5.สอนให้ลูกรู้จักการเก็บรักษาสมบัติ ฝึกความเป็นระเบียบเรียบร้อย
6.สอนศีลธรรม
7.เป็นแบบอย่างความเป็นผู้หญิงให้แก่ลูก
8.ลูกสาวจะได้เรียนรู้สิ่งใดมีค่าสำหรับผู้หญิงจากแม่และต้องพยายามหามาให้เป็นของตน
9.ช่วยให้ลูกสาวพัฒนาทางอารมณ์ให้ความรู้เรื่องเพศตามวัย
☺บทบาทหน้าที่ของพ่อแม่ในการอบรมเลี้ยงดู
1.มีเจตคติที่ดีต่อเด็ก
2.สนองความต้องการของเด็กในทุกด้าน
3.ถ่ายทอดวัฒนธรรมประเพณีให้กับเด็ก
4.ปลูกฝังเจตคติที่ดีต่อบุคคลและสิ่งต่างๆ
5.ส่งเสริมความสนใจของเด็ก
6.ส่งเสริมพัฒนาการทางสติปัญญา
7.สร้างสิ่งแวดล้อมที่ดีให้แก่เด็ก
8.ทำตัวเป็นครูของลูก
9.การให้แรงเสริมและการลงโทษ
☺บทบาทของพ่อแม่ที่ไม่เหมาะสมในการอบรมเลี้ยงดู
1.การตี
2.การให้สินบน
3.การขู่
4.การเยาะเย้ย
5.การทำโทษรุนแรงเกินไป
6.การล้อเลียน
7.การคาดโทษ
8.การกระทำให้ได้รับความเจ็บปวด
9.การทำให้ได้รับความอับอาย
10.การเปรียบเทียบกับเด็กที่เล็กกว่า
11.การโต้เถียง ขัดแย้ง
12.การเข้มงวดเกินไป
13.การปล่อยปละละเลย
☺อิทธิพลของการเลี้ยงดูที่มีผลต่อพัฒนาการทางบุคลิกภาพ
ถ้าเด็กถูกเลี้ยงด้วยคำตำหนิ เขาก็จะเป็นคนล้มเหลว
ถ้าเด็กถูกเลี้ยงด้วยความก้าวร้าว เขาก็จะเป็นคนที่แข็งกร้าว
ถ้าเด็กถูกเลี้ยงด้วยคำเย้ยหยัน เขาก็จะเป็นคนขลาดอาย
ถ้าเด็กถูกเลี้ยงด้วยความละอาย เขาก็จะเป็นขี้หวาดระแวง
ถ้าเด็กถูกเลี้ยงด้วยความมานะ เขาก็จะเป็นคนที่อดทน
ถ้าเด็กถูกเลี้ยงด้วยการให้กำลังใจ เขาก็จะเป็นคนที่เชื่อมั่นในตนเอง
ถ้าเด็กถูกเลี้ยงด้วยความชื่นชม เขาก็จะเป็นคนซึ้งในคุณค่า
ถ้าเด็กถูกเลี้ยงด้วยความยุติธรรม เขาก็จะเป็นคนที่รักความยุติธรรม
ถ้าเด็กถูกเลี้ยงด้วยความรักความอบอุ่น เขาก็จะเป็นคนมีศรัทธาในชีวิต
ถ้าเด็กถูกเลี้ยงด้วยการยอมรับ เขาก็จะเป็นคนที่พอใจในตนเอง
ถ้าเด็กถูกเลี้ยงด้วยความเป็นมิตร เขาก็จะเป็นเด็กที่เต็มไปด้วย
☺ความสำคัญและความสัมพันธ์ระหว่างพ่อแม่และลูก
ความสัมพันธ์ระหว่างพ่อแม่และลูก หมายถึง ความรู้สึกที่พ่อแม่มีต่อลูกและความรู้สึกที่ลูกมีต่อพ่อแม่นั่นเอง เด็กแต่ละคนจะมีความรู้สึกต่อพ่อแม่ต่างกัน เช่น มีคำกล่าวว่า ลูกสาวมักจะใกล้ชิดสนิทสนมมากกว่าแม่หรือลูกชายจะสนิทสนมแม่มากกว่าพ่อ นอกจากนี้ความสัมพันธ์ระหว่างพ่อแม่และลูกมักจะขึ้นอยู่กับเจตคติของพ่อแม่ที่มีต่อลูก
☺เจตคติของพ่อแม่ที่มีต่อลูก 6 แบบ
1.พ่อแม่ที่รักและคอยช่วยเหลือเอาใจใส่ลูกมากเกินไป
2.พ่อแม่เอาใจลูกเกินไป
3.พ่อแม่ที่ทอดทิ้งเด็ก
4.พ่อแม่ที่ยอมรับเด็ก
5.พ่อแม่ที่ชอบบังคับลูก
6.พ่อแม่ที่ยอมจำนนต่อลูก
☺วิธีการอบรมเลี้ยงดู อาจจัดได้4วิธีดังนี้
วิธีที่ 1 การอบรมเลี้ยงดูเด็กแบบความรักความอบอุ่นแบบประชาธิปไตย
เป็นการอบรมเลี้ยงดูลูก ซึ่งได้แก่ ความรัก ความเอาใจใส่ ความเข้าใจ ต้องใช้เหตุผลกับลูกให้ลูกรู้สึกว่าได้รับการปฏิบัติด้านความยุติธรรม และไม่ใช้เพียงแต่ให้ความรักอย่างเดียว ต้องให้ความสำคัญแก่ลูก โดยถือว่าลูกคือส่วนสำคัญต่อครอบครัว พ่อแต้องให้ในสิ่งที่ลูกต้องการจริง ๆ
หลักการอบรมเลี้ยงดูแบบนี้พ่อแม่จะทำได้คือ
1.พ่อแม่ให้สิทธิแก่ลูกในฐานะเป็นส่วนหนึ่งของครอบครัวให้เขาเป็นตัวเองให้มากที่สุด จะต้องไม่คิดแทนลูก ฝึกให้เขาทำได้คิดตัวเอง
2.พ่อแม่มีหน้าที่ให้สิ่งต่าง ๆ ตรงกับพัฒนการตามความต้องการเหมาะสม และความสามารถทางร่างกาย
3.พ่อแม่ควรต้องเอาใจใส่ ต่อควาทคิดเห็นของลูก สนใจกิจกรรมต่าง ๆ ของลูก ให้คำแนะนำ สิ่งเสริมและเฝ้าดูผลสำเร็จในงานของลูกด้วยความตั้งใจและอดทน
4.พ่อแม่ควรมีเวลาใกล้ชิดลูก และทำตัวเป็นเพื่อนที่ดีของลูก ให้คำแนะนำมากกว่าการออกคำสั่งให้ทำควรเลี้ยงลูกแบบประชาธิปไตยไม่ใช่เผด็จการ เพราะจะช่วยให้เด็กได้เติบโตอย่างมีอิสระตามพัฒนาการขั้นต่างๆ
5.พ่อแม่ควรใช้แรงเสริมเป็นตัวสร้างบุคลิกภาพของเด็กตามที่ต้องการจะให้เด็กเป็น พ่อแม่จะต้องเป็นแบบอย่างโดยแสดงพฤติกรรมที่เหมาะสมให้ลูกเห็นอย่างเด่นชัด
6.พ่อแม่ควรส่งเสริมความเป็นคนมีสุขภาพจิตที่ดีให้แก่ลูก โดยให้อิสระแก่ลูกควบคู่ไปกับการมีหน้าที่และความรับผิดชอบ ทำให้ทั้งสองสิ่งมีความสมดุลกันขึ้นในตัวของลูก
7.พ่อแม่ควรจะใช้วิธีการลงโทษให้เหมาะสม ทฤษฏีของโคเบอร์ก กล่าวว่า เด็กอายุ 1-7 ปี การทำโทษทางกายยังใช้ได้ดี เพราะทำให้เกิดการเรียนรู้ การตีเด็ก ควรตีเพราะสั่งสอนมิใช่เพราะโกรธ
8.การฝึกวินัยให้ลูกเป็นสิ่งจำเป็น ควรเริ่มทำในเมื่อลูกโตพอที่จะเข้าใจเหตุผล การยัดเยียดให้เด็กมีระเบียบวินัยมากเกินไปในขณะที่เด็กยังไม่พร้อม จะเกิดผลเสียมากกว่าผลดี เพราะจะทำให้เด็กต่อต้าน เอาแต่ใจ
9.พ่อแม่ควรสร้างสิ่งแวดล้อมที่กระตุ้นให้ลูกเกิดความอยากรู้อยากเห็นและเกิดความคิดริเริ่มสร้างสรรค์
10.พ่อแม่ควรช่วยให้ลูกได้เรียนรู้ทีจะอยู่กับผู้อื่นอย่างมีความสุข โดยเฉพาะในเด็กวัยเดียวกัน เพื่อให้เด็กได้ปรับตัวเข้ากับสังคม และอยู่ในสังคมได้อย่างปกติสุข
ผลของการเลี้ยงลกแบบประชาธิปไตย เด็กจะมีลักษณะ ดังนี้
- จะเป็นคนเปิดเผย เป็นตัวของตัวเอง มีเหตุผล
- มีความรับผิดชอบ
- มีอารมณ์ขัน ร่าเริงแจ่มใส มองโลกในแง่ดี
- เรียนรู้อะไร ๆ ได้อย่างรวดเร็ว
- สามารถปรับตัวได้ดี และกล้าแสดงออกอย่างมั่นใจ
- สามารถช่วยเหลือตนเองและแก้ไขปัญหาเฉพาะหน้าได้ดี
- มีความเชื่อมั่นในตนเองสูง
- มีลักษณะของการเป็นผู้นำที่ดี
- ให้ความร่วมมือกับผู้อื่นได้ดี มีความมั่นคงทางอารมณ
- มีความเข้าใจตนเองสูง และรู้สึกว่าตนเองมีคุณค่า
- รู้จักใช้เหตุผล เคารพสิทธิของตนเองและผู้อื่น
วิธีที่ 2 การอบรมเลี้ยงดูเด็กแบบคาดหวังเอากับเด็ก
1.เคี่ยวเข็ญให้ลูกทำตามสิ่งที่พ่อแม่เห็นว่าดีเท่านั้น
2.มักจะดุด่าว่ากล่าวเมื่อเวลาที่ลูกอธิบายหรือแสดงเหตุผลคัดค้าน
3.กำหนดรายการอาหารทุกมื้อแก่ลูก และลูกต้องกินหมดทุกครั้ง
4.กำหนดวิธีการดำรงชีวิตตั้งแต่เกิด ไม่ว่าจะเป็นการกิน การเล่น การเที่ยว ขึ้นอยู่กับพ่อแม่
ผลของการเลี้ยงลูกแบบคาดหวังเอากับเด็ก เด็กจะมีลักษณะดังนี้
- ลูกจะเป็นคนเจ้าอารมณ์ ปรับตัวกับสังคมภายนอกได้ยาก
- ไม่มีความมั่นใจในตนเอง
- ไม่มีความเป็นตัวของตัวเอง ไม่กล้าตัดสินใจด้วยตนเอง
- ขาดความคิดริเริ่มสร้างสรรค์
- ชอบพึ่งพาผู้ใหญ่
วิธีที่ 3 การอบรมเลี้ยงดูเด็กแบบปล่อยปละละเลย
1.ไม่ค่อยสนใจเกี่ยวกับความเป็นอยู่ของลูก ลูกจะเลนอะไร อย่างไร พ่อแม่ไม่เคยเอาใจใส่
2.เวลาพ่อแม่อารมณ์ไม่ดี มักจะระบายออกด้วยการทำโทษเด็กเสมอ
3.เวลาลูกถามมักพูดว่า “อย่ามากวนใจ ไปให้พ้น”
4.ชอบพูดขู่ลูกเสมอเวลาลูกเล่นซน ถ้าเด็กไม่กลัวก็จะตีลูกอย่างรุนแรง
5.ปล่อยให้ลูกทำอะไรต่าง ๆ ตามใจชอบ ไม่ค่อยชี้แนะแนวทางที่ถูกต้องและเหมาะสมให้
6.มักรักลูกไม่เท่ากัน โดยปฏิบัติตนกับลูกอย่างลำเอียง
ผลของการอบรมเลี้ยงดูแบบปล่อยปละละเลย เด็กจะมีลักษณะดังนี้
- ลูกจะมีลักษณะก้าวร้าว ชอบทะเลาะเบาะแว้วกับผู้อื่นบ่อย ๆ
- มีทัศนคติไม่ดีต่อพ่อแม่ บางครั้งถึงกับเกลียดชังพ่อแม่ตัวเอง ไม่เชื่อฟังผู้ใหญ่
- ลูกมีอาการเซื่องซึม ไม่สามารถปรับตัวได้ง่าย มีความตึงเครียดทางอารมณ์
วิธีที่ 4 การอบรมเลี้ยงดูเด็กแบบรักถนอมมากเกินไป
1.คอยชี้แนะช่วยเหลือเพื่อนตลอดเวลา
2.ไม่ยอมให้ลูกเล่นกับเพื่อนๆ เพราะกลัวลูกจะถูกรังแก
3.ไม่ยอมให้เด็กกินอาหารเอง เพราะกลัวจะทำเลอะเทอะ
4.มักช่วยลูกทำการบ้านเสมอ
5.ไม่ยอมให้ลูกกินอาหารหรือขนม จนกว่าพ่อแม่จะได้ชิมเสียก่อน
6.เมื่อลูกเจ็บป่วยเล็กน้อย พ่อแม่จะวิตกกังวลมาก
7.ไม่ยอมให้ลูกได้ช่วยตนเองเวลาทำงานต่าง ๆ
ผลของการเลี้ยงดูแบบรักถนอมมากเกินไป เด็กมีลักษณะดังนี้
- เป็นเด็กที่เอาแต่ใจตนเอง ขาดความคิดริเริ่มสร้างสรรค์ และความเชื่อมั่นในตนเอง
- คอยพึ่งพาผู้อื่นอยู่เสมอ พึ่งตนเองไม่ได้
- ไม่สามารถจะแก้ปัญหาด้วยตนเอง ปรับตัวให้อยู่ในสังคมได้ยาก
- มีแนวโน้มสุขภาพจิตเสีย และมีอาการทางประสาท
❤การอบรมเลี้ยงดูเด็กวัยทารก
☺การดูแลเด็กทารก
เด็กวันทารก (Infancy) นับตั้งแต่คลอดจากครรภ์มารดาไปจนถึง 2 ปี เป็นวัยที่สำคัญที่สุดในการวางรากฐานสำคัญต่าง ๆ ของชีวิตในทุก ๆ ด้าน
เป็นระยะที่มีการเปลี่ยนแปลงมากที่สุด
บิดามารดาผู้เลี้ยงดูจึงควรใช้ระยะเวลานี้เพื่อส่งเสริมให้มีคุณภาพยิ่งขึ้น
โดยตอบสนองความต้องการจำเป็นต่าง ๆ เพื่อให้ทารกมีพัฒนาการที่ดีทั้งทางกาย อารมณ์
จิตใจ สังคม และสติปัญญา
✌การดูแลสุขภาพ
1.การอาบน้ำ
2.การสระผม
3.การเปลี่ยนผ้าอ้อมเสื้อผ้าที่สวมใส่
ควรสะอาด
4.ปากและฟัน
✌การดูแลด้านโภชนาการ
- ความต้องการอาหารของทารก
มีดังต่อไปนี้
☺โปรตีน ☺พลังงาน ☺วิตามิน ☺เกลือแร่ 1)เหล็ก 2) ไอโอดีน 3) แคลเซียม 4) สังกะสี
☺การเลี้ยงดูทารกด้วยนมแม่
นมแม่ที่เหมาะสมที่สุดในการเลี้ยงดูทารกในระยะแรกของชีวิตเพื่อการเจริญเติบโต
และการสร้างภูมิต้านทานโรค ทั้งนี้ด้วยเหตุผลต่าง ๆ ดังต่อไปนี้
1.คุณค่าทางโภชนาการของนมแม่
นมแม่แบ่งได้ 2 ระยะ
1.น้ำนมเหลือง (Colostrums) เป็นน้ำนมที่ออกมาในระยะ 2-4 วันแรก จะหลั่งใน 12 – 24 ขั่วโมงหลังคลอด
2.น้ำนมแม่ (Mature Human
Milk) หลังคลอด 2 – 4 วัน
2.ลักษณะที่ดีของนมแม่
1.นมแม่มีสารอาหารครบถ้วน
2.นมแม่สะดวกไม่ต้องเสียเวลาชงนม
3.นมแม่สะอาดปลอดภัย
4.นมแม่มีสารป้องกันการติดเชื้อ
5.นมแม่ลดอัตราการเกิดโรคภูมิแพ้
6.นมแม่ไม่ทำให้ลูกอ้วน
7.นมแม่มีผลดีต่อจิตใจ
8.นมแม่มีผลดีต่อแม่ ทำให้มดลูกของแม้เข้าอู่เร็ว
3.หลักการในนมทารกด้วยนมแม่
1.การเตรียมตัวของแม่ก่อนคลอด
ควรมีการออกกำลังกาย และเตรียมใจไว้ด้วยการควรจะเริ่มทำในระยะกลาง ๆ
ของการตั้งครรภ์
ถ้าหัวนมบุ๋มหรือบอดก็อาจต้องดึงออกและนวดเต้านม
2.การให้นมลูก
อาจให้ทุก 3 – 4 ชั่วโมง
หรือตามความต้องการของลูกก็ได้ ในระยะแรก ๆ หลังคลอดอาจให้ดูดสลับทั้ง 2 เต้าในแต่ละมื้อ
4.การให้นมประสม
การเลี้ยงลูกด้วยนมผสมก็เป็นเรื่องที่จำเป็นอย่างมาก
ในครอบครัวปัจจุบันที่มีแม่ต้องออกไปทำงานนอกบ้านหรือไม่มีน้ำนมหรือเวลาในการเลี้ยงลูก
ดังนั้นจึงควรมีความรู้ในการให้นมผสม
-ชนิดของนมผสม
1)นมผงคล้ายนมมารดา
2)นมผงครบส่วน
3)นมข้นจืด
4)นมสำหรับเด็กแพ้นมวัว
4.2 ปริมาณนมผสมสำหรับทารก
ตารางแสดงจำนวนครั้งและปริมาณการให้นมทารกแรกเกิด 1-12 เดือน
อายุ
|
ปริมาณ ( ออนซ์)
ต่อมื้อ
|
จำนวนครั้งต่อวัน
|
1-04 เดือน
|
3-4
|
6-8
|
4-06 เดือน
|
6-7
|
4-5
|
6-09 เดือน
|
7-8
|
3-4
|
9-12
เดือน
|
8
|
3
|
4.3 วิธีให้นมผสมหรือนมขวด ไม่ควรใช้ผ้าหรือหมอนรองหนุนขวดให้ทารกนอนดูดได้ และไม่ควรให้ทารกนอนดูดนมจนหลับไปโดยยังอมหัวนมอยู่
4.4 การชงนม สิ่งที่ต้องระวังเป็นพิเศษ คือ ความสะอาดนมที่แน่ใจว่าสะอาดคือนมที่ชงกินมื้อต่อมื้อ
4.5 การทำความสะอาดขวดนมและหัวนม สามารถทำได้โดยนำขวดนมทั้งชุดไปต้ม
☺การให้อาหารเสริมทารก
การให้อาหารเสริมแก่ทารกมีข้อพิจารณา ดังนี้
อายุ
|
อาหารเสริม
|
แรกเกิด-
4 เดือน
|
กินนมแม่อย่างเดียว
|
อายุครบ 5 เดือน
|
กินนมแม่ เพิ่มข้าวบด
เนื้อปลาสุกสลับกับไข่แดงต้มสุกผสมน้ำแกงจืด วันละ 1 ครั้ง
แล้วกินนมแม่ตามจนอิ่ม
|
อายุครบ 6 เดือน
|
กินนมแม่หรือนมผสม
ข้าวบดเนื้อปลาสุกหรือไข่แดง ต้มสุกผสมน้ำแกงจืด โดยเพิ่มผักสุกบดด้วยทุกครั้งเป็นอาหารแทนนมแม่
1 มื้อ มีผลไม้เป็นอาหารว่าง 1 มื้อ เช่น มะละกอ
|
อายุครบ 7 เดือน
|
กินนมแม่หรือนมผสม เพิ่มเนื้อสัตว์สุกบดชนิดอื่น เช่น ไก่
หมู และตับสัตว์สุกบดหรือทั้งไข่แดงและไข่ขาวต้มสุกบดในข้าว และผักบดสลับกับอาหารที่เคยให้เมื่ออายุครบ 6
เดือน มีผลไม้เป็นอาหารว่าง 1 มื้อ เช่น ส้มเขียวหวาน
|
อายุครบ 8
- 9 เดือน
|
กินนมแม่หรือนมผสม
กินอาหารเช่นเดียวกับเมื่ออายุครบ 7 เดือน แต่บดหยาบและเพิ่มปริมาณให้มากขึ้น
เป็นอาหารหลักแทนนมได้ 2 มื้อ มีผลไม้เป็นอาหารว่าง 1 มื้อ เช่น กล้วยน้ำว้า
|
อายุ 10 –
12 เดือน
|
กินนมแม่หรือนมผสม กินอาหารเช่นเดียวกับเมื่ออายุ 8-9 เดือน
แต่เพิ่มปริมาณให้มากขึ้นเป็นอาหารหลักแทนนมแม่ได้ 3 มื้อ ผลไม้เป็นอาหารว่าง 1
มื้อ เช่น สับปะรด
|
อายุ 13 –
24 เดือน
|
ให้เด็กดื่มนมจากถ้วยโดยให้ดื่มวันละ
2-3 ครั้ง ครั้งละประมาณ 1 ถ้วย ให้รับประทานข้าวสวยที่หุงนุ่มๆ
และอาหารเหมือนผู้ใหญ่ที่ไม่แข็งหรือเหนียว หรือย่อยยากจนเกินไป
|
☺ข้อแนะนำในการให้อาหารเสริมทารก
1.ไม่ควรให้อาหารอื่น นอกจากนมแม่ก่อนอายุ 4 เดือน
2.เมื่อเด็กอายุ 4 เดือนเต็มจะเริ่มให้อาหารอื่นได้
3.การให้อาหารใหม่แต่ละชนิด ควรเว้นระยะห่างกันนาน 1- 2 สัปดาห์
4.ถ้าเด็กปฎิเสธอาหารในครั้งแรกๆ แย่าพยายามยัดเยียดหรือบังคับให้กิน
5.อย่าปรุงอาหารรสจัดให้แก่เด็ก
6.ไม่ควรให้น้ำหวานแก่เด็ก
☺การจัดของเล่นสำหรับเด็กทารก
อายุ
|
ของเล่น
|
วัตถุประสงค์
|
แรกเกิด-6
เดือน
|
-เครื่องแขวนสีสด
-เครื่องเขย่าให้เกิดเสียง
-ตุ๊กตายางผิวหยาบแต่นุ่มนิ่ม
ตุ๊กตาผ้า
|
-กระตุ้นการใช้สายตาและการจับต้องด้วยมือเท้า
-ให้จับ คว้า เขย่า โยก ฝึกฟังเสียง
-ให้จับ ขยำ ลูบ คลำ กอด
ให้เกิดความอบอุ่น
|
7-12
เดือน
|
-กล่องเปล่าขนาดต่างๆ
-รถหัดเดิน
|
-ฝึกการหยิบจับซ้ำและการซ้อน
-ฝึกกล้ามเนื้อหลังและขา
|
1-2 ปี
|
-ตุ๊กตา
-หนังสือรูปภาพ
|
-เล่นเลียนแบบ
-ฝึกการสังเกตจากภาพ
ฝึกเรียกชื่อสัตว์
|
☺การให้ภูมิคุ้มกันโรค
อายุ
|
ให้วัคซีนป้องกันโรค
|
9-12
เดือน
|
-หัด คางทูม หัดเยอรมัน ครั้งที่
1
|
1ปีครึ่ง
|
-คอตีบ บาดทะยัก โปลิโอ ครั้งที่ 4
-ไข้สมองอักเสบ ครั้งที่ 1,2
|
2ปีครึ่ง
|
-ไข้สมองอักเสบ ครั้งที่ 3
|
4-6 ปี
|
-คอตีบ
บาดทะยัก ไอกรบ โปลิโอ ครั้งที่ 5
-วัคซีน
บีซีจี ป้องกันวัณโรค
|
12-16 ปี
|
-หัด คางทูม หัดเยอรมัน ครั้งที่ 2
-คอตีบ
บาดทะยัก
|
☺การป้องกันอุบัติเหตุในวัยทารก
อายุ
|
อุบัติเหตุ
|
การป้องกัน
|
แรกเกิด-
4 เดือน
|
-สำลักน้ำนม
-แขนขาหรือคอขัดในซี่กรงขอบเตียง
|
-อุ้มทารกเวลาให้นม
-ติดลูกกรงให้ดี
|
4-9 เดือน
|
-ตกจากที่สูง
-จมน้ำในอ่าง
|
-อย่าปล่อยไว้คนเดียว
-อย่าทิ้งทารกไว้ในอ่างคนเดียว
|
9-12
เดือน
|
-ของเล่นติดคอ หู จมูก
|
-ของเล่นต้องมีขนาดใหญ่
|
12-24
เดือน
|
-หกล้มหัวโน
-ไฟดูด
|
-อย่าปล่อยให้อยู่คนเดียว
-ย้ายปลั๊กไฟให้สูงพ้นจากมือทารก
|
☺ปัญหาเด็กวัยทารก
1.ปัญหาจากการร้อง
2.ปัญหาเกี่ยวกับการนอน
3.ปัญหาเกี่ยวกับระบบทางเดินอาหาร
4.ปัญหาเกี่ยวกับผิวหนัง
5.ปัญหาเกี่ยวกับปากและนัยน์ตา
6.ปัญหาเกี่ยวกับระบบหายใจ
❤การอบรมเลี้ยงดูเด็กวัยก่อนเรียน
☺การอบรมดูแลลูกวัยก่อนเรียน
เด็กวัยก่อนเรียน
(preschool child) หรือเด็กวัยตอนต้น (early
childhood) มีอายุ 2 – 5 เด็กวัยก่อนเรียนเป็นช่วงที่สำคัญที่สุดช่วงหนึ่งของชีวิต
เพราะเป็นวัยทองของการวางรากฐานบุคลิกภาพของมนุษย์
ระยะนี้เป็นระยะที่เกิดการเรียนรู้มากที่สุดในชีวิต
เป็นช่วงพัฒนาการที่สำคัญที่สุดที่จะสร้างบุคลิกภาพให้แก่เด็ก เด็กจะเป็นคนอย่างนั้นขึ้นอยู่กับการเลี้ยงดูในวัยนี้เป็นสำคัญ
☺การสร้างระเบียบวินัย
✌หลักของระเบียบวินัย
มีหลักสำคัญ 4 ประการ
1.เด็กต้องประพฤติในสิ่งที่ดี
และขจัดพฤติกรรมที่ไม่พึงปรารถนา
2.เด็กต้องสร้างความสัมพันธ์ระหว่างความพึงพอใจกับการกระทำดีและไม่พึงพอใจกับการกระที่ไม่ดี
และหลีกเลี่ยงการกระทำนั้น
3.เด็กต้องการทำความดีจนกระทั่งเกิดความเคยชินหรือเกิดเป็นนิสัยโดยไม่ต้องมีใครแนะนำ
4.เด็กต้องเรียนรู้ถึงการเปลี่ยนพฤติกรรมที่ไม่ดี
ไม่พึงปรารถนาเป็น พฤติกรรมที่ดีที่พึงปรารถนาของสังคม
✌การฝึกวินัย นักจิตมิทยาได้แยกการฝึกออกเป็น 2 ประเภทใหญ่ ๆ คือ
1)การฝึกวินัยโดยการใช้ความรักเป็นตัวนำ (Love – oriented tecjnique)
2)การฝึกวินัยโดยการใช้วัตถุเป็นตัวนำ (Object – oriented techniqure)
3)การวางกฎเกณฑ์
✌การช่วยให้เด็กรู้จักบังคับตน
1.สร้างความสัมพันธ์อันดีกับลูก
2.ให้อิสรภาพแก่เด็ก
3.ไม่มอบความรับผิดชอบแก่เด็กจนเกินกำลัง
4.ช่วยให้เด็กเรียนรู้สิ่งต่าง
ๆ ที่เด็กสนใจ
5.อธิบายคำถามที่ต่าง
ๆ ที่เด็กสนใจ
5.มีความนับถือในตัวเด็ก
6.ยกย่องชมเชยเด็กในโอกาสอันควร
7.อธิบายเหตุผลต่าง
ๆ ให้เด็กก่อนที่จะให้ทำตาม
8.มีความคงเส้นคงวา
✌การปฏิบัติตนของพ่อแม่ในการฝึกวินัย
1.สร้างความศรัทธาให้แก่ลูกเสียก่อน
2.จะต้องเป็นแบบอย่างที่ดี
3.ใช้อำนาจแบบอ่อนโยน
4.ไม่ใช้อำนาจอย่างไร้เหตุผล
5.ออกคำสั่งในรูปการชักชวน
6.ไม่ควรขัดแย้งกันเองให้ลูกเห็น
7.ต้องตัดสินปัญหาร่วมกันได้
8.ไม่ควรให้เด็กทำอะไรถ้าเขายังไม่พร้อม1
9.ควรส่งเสริมให้รู้จักตัดสินในความคิด
เมื่อลูกเริ่มรู้จักคิด
10.ให้เด็กเล่นกับเพื่อนรุ่นเดียวกัน
11.เพิ่มความเชื่อมั่นในตนเองให้ลูก
☺การฝึกลักษณะนิสัยที่ดี
1.การรับประทานอาหาร
-สร้างนิสัยที่ดีในการรับประทาน
-ให้เด็กรับประทานอาหารที่มีประโยชน์และเพียงพอกับความต้องการของร่างกาย
ได้อาหารครบ 5 หมู่ เป็นอาหารที่
ย่อยง่าย สุก และนุ่ม เหมาะที่จะให้เด็กเคี้ยว ไม่ควรมีไขมันมากเกินไป
มีสีสันน่ารับประทาน รูปร่างแปลกชวนชิม และอร่อย
-ไม่ควรให้เด็กรับประทาน อาหารรสจัด น้ำอดลม
อาหารที่มีไขมันมากเกินไป อาหารหมักดอง อาหารกระป๋อง อาหารที่มีผงชูรสมาก
และอาหารที่เด็กแพ้เฉพาะราย
2.การฝึกการขับถ่าย
การฝึกนิสัยการขับถ่ายให้แก่เด็กนั้นมีความแตกต่างกันระหว่างเด็กทารกกับเด็กวัยก่อนเรียน
การฝึกแบบค่อยเป็นค่อยไปและใช้ความอดทนเป็นสิ่งจำเป็นอย่างยิ่งสำหรับการฝึก
ถ้าฝึกก่อนเด็กจะมีความพร้อมอาจจะทำให้เด็กมีปัญหาเกิดขึ้น
3.การฝึกนิสัยการนอน-จัดสภาพแวดล้อมให้เหมาะกับการนอน
-การกำหนดเวลาจะช่วยให้เด็กเคยชินและนอนได้นานๆ
4.การฝึกนิสัยการอาบน้ำแต่งตัว
-การอาบน้ำ เมื่อถึงเวลาอาบน้ำให้เตือนล่วงหน้า 5 นาที เตรียมเครื่องใช้ให้พร้อม ควรสอนวิธีการอาบน้ำ
-การแต่งตัว ควรให้เด็กแต่งตัวเอง
❤❤❤การฝึกให้เด็กอาบน้ำแต่งตัวได้เอง จะทำให้เด็กเกิดความเชื่อมั่นในตนเองและรู้สึกอิสระ จะทำให้ทีความภาคภูมิใจในตัวเอง ลดการพึ่งพาผู้ใหญ่ ช่วยตัวเองได้เร็วขึ้น
☺บทบาทของพ่อแม่ในการจัดสภาพแวดล้อม
1.จัดสภาพแวดล้อมภายในบ้านให้ร่มรื่น
2.สร้างสภาพแวดล้อมให้อยู่รอบตัวเด็ก ให้เด็กสามารถดูดซึมค่านิยมที่ต้องการปลูกฝังเองได้
3.จัดให้เด็กได้ใกล้ชิดกับบุคคลแวดล้อม
4.จัดโอกาสให้เด็กได้ศึกษาหาประสบการณ์
5.แสวงหาแบบอย่างวัฒนธรรมที่ดีงาม
6.เสนอเรื่องราวหรือเหตุการณ์ปัญหาที่แวดล้อมเด็กสนใจ นำมาสนทนากัน
☺การเลียนแบบของเด็กวัยก่อนเรียน
แบ่งออกเป็น 3 ลักษณะใหญ่ๆ คือ
1.การเลียนแบบบทบาททางเพศ
2.การเลียนแบบส่วนตัวที่ไม่ใช่บทบาททางเพศ
3.การเลียนแบบกับการพัฒนาศีลธรรม
☺ความสนใจเรื่องเพศของเด็กวัยก่อนเรียน
1.พัฒนาการในเรื่องเพศของเด็กวัยก่อนเรียน
อายุ
|
พัฒนาการในเรื่องเพศของเด็ก
|
2 ปี
|
แสดงความรักต่อพ่อแม่มาก
|
2 ปีครึ่ง
|
กังวลกับอวัยวะเพศ
|
3 ปี
|
ซักถามเรื่องความแตกต่างระหว่างเพศหญิงกับเพศชาย
|
4 ปี
|
สนใจและกังวลเรื่องสะดือมาก อยากรู้คนอื่นทำอะไรในห้องน้ำ
|
5 ปี
|
เริ่มค้นเคยกับความแตกต่างของอวัยวะเพศ
|
6 ปี
|
ชอบแสดงอวัยวะเพศในห้องน้ำ ชอบตั้งชื่อเรียกอวัยวะเพศ
|
2.การสอนเรื่องเพศ
1.ควรทำแต่ยังเล็กควรเริ่มจากให้เด็กทราบถึงความแตกต่าง
2.ผู้ควรฟังในสิ่งที่เด็กถาม
3.ควรดูแลในเรื่องความเป็นอยู่หลับนอนของเด็ก
4.หากิจกรรมที่ให้เด็กมีเพื่อนหรือผู้ใกล้ชิด
3.การตอบคำถามเรื่องเพศ
เรื่องเพศคือเรื่องที่เด็กควรอธิบายให้ทราบ แต่อธิบายโดยข้อความสั้นๆ วิธีตอบคำถามที่ดีที่สุด เราควรความเข้าใจของเด็กก่อนว่า เขาเข้าใจอย่างไร เราควรให้รายละเอียดมากขึ้นกว่าเดิม
☺ปัญหาของเด็กก่อนวัยเรียน
1.ปัญหาด้านสุขภาพกาย สุขภาพจิต
เกิดจากครอบครัวที่แม่ไม่นิยมเลี้ยงลูกด้วยนม พ่อแม่ทารุณ ขาดคุณธรรมและจริยธรรม
2.ปัญหาด้านโภชนาการ
เกิดจากครอบครัว คือ แม่ขาดความรู้ด้านโภชนาการ
3.ปัญหาด้านสติปัญญาและความสามารถพื้นฐาน
เกิดจากพ่อแม่ขาดความรู้ความเข้าใจทางดานร่างกาย อารมณ์ จิตใจ สังคม สติปัญญา
4.ปัญหาด้านสังคม วัฒนธรรม และจริยธรรม
เกี่ยวข้องกับครอบครัวเด็กเกิดจากบุตรนอกสมรสและการตั้งครรภ์ที่พ่อแม่ไม่พึงปรารถนา พ่อแม่ขาดการศึกษา ขาดความรับผิดชอบ ครอบครัวแตกแยก
![]() |
บรรยากาศในห้องเรียน |
ประเมินตนเอง ↭ ในวันนี้ได้เรียนรู้เรื่องการอบรมเลี้ยงดูเด็กทารกทำให้เข้าใจมีรายละเอียดที่เรายังไม่รู้แต่ในวันนี้ทำให้เรารู้มากยิ่งขึ้น
ประเมินเพื่อนร่วมห้อง ↭ เพื่อนๆทุกคนตั้งใจเรียนดีมาก แต่บางคนอาจจะพูดคุยกันบ้างในขณะที่อาจารย์สอนและเพื่อนบางคนให้ความร่วมมือในการเรียนดีมาก
ประเมินอาจารย์ ↭ สำหรับวันนี้อาจารย์ได้สอนเรื่องการอบรมเลี้ยงดูเด็กทารกและอาจารย์ได้อธิบายถึงรายละเอียดต่างๆให้ฟังทำให้เข้าใจมากขึ้น
ความคิดเห็น
แสดงความคิดเห็น