บันทึกการเรียนรู้ ➤ ครั้งที่ 5
เวลา 08.30-11.30น.
ความรู้ที่ได้รับ
วันนี้อาจารย์บาสให้ดาวเด็กดีคนที่มาตรงต่อเวลาและมาถึงก่อนเวลาที่กำหนดที่จะไปโรงเรียนสาธิตมหาวิทยาลัยจันทรเกษมของเมื่อวานวันจันทร์ที่ 5 กุมภาพันธ์ พ.ศ.2561 ที่ได้ลงชื่อไว้กับอาจารย์ได้ทั้งหมด 25 คน คนละ 1 ดวง และมีดาวเด็กดีอีกดวงที่อาจารย์บาสให้คือคนที่อาจารย์เปิดดู BLOGGER ได้ เพื่อๆทุกคนรอลุ้นว่าของตัวเองจะเปิดได้หรือไม่แต่ของหนูเปิดได้ หนูได้ด้วยรู้สึกดีใจมาก☺
![]() |
ใบเช็คเวลาเข้าเรียน |
หลังจากนั้นอาจารย์ให้แบ่งกลุ่มละ 5 คน บางกลุ่ม 4 คน ได้ให้หนังสือราชการแต่ละกลุ่ม
![]() |
อาจารย์ให้นำเสนอเรื่องความต้องการของเด็กปฐมวัยซึ่งได้ทำไว้แล้วในสัปดาห์ก่อนในแผ่นกระดาษให้ออกมานำเสนอทีละกลุ่ม อาจารย์บาสพูดถึงว่ากลุ่มไหนจะออกมานำเสนอก่อน อาจารย์เลยพูดว่าวันนี้วันที่6 เลขที่6 ซึ่งเป็นเลขที่หนู กลุ่มหนูได้ออกเป็นกลุ่มแรก☺
![]() |
บรรยากาศในการนำเสนอ |
ความต้องการของเด็กปฐมวัย่
ด้านร่างกาย ↦ ✌ด้านสุขอนามัย ได้แก่ การส่งเสริมด้านโภชนาการ ✌ด้านสุขนิสัย ได้แก่ กิจกรรมฝึกเด็ก ดูแลความสะอาดร่างกาย ✌ด้านกล้ามเนื้อเล็ก ได้แก่ การปั้น ✌ด้านกล้ามเนื้อใหญ่ ได้แก่ การเล่นกลางแจ้ง ❤วิธีการตอบสนองความต้องการ พ่อแม่↷ควรฝึกให้ลูกกินอาหารอย่างเหมาะสม
ครู↷ควรเปิดโอกาสให้เด็กเล่นกลางแจ้งในเวลาเช้า
ด้านอารมณ์-จิตใจ ↦ ต้องการแสดงความพึงพอใจด้วยการส่งเสียงเล่น ต้องการหลีกเลี่ยงเสียงดังที่ทำให้เกิดความตกใจ ต้องการที่จะได้รับการตามใจไม่ชอบให้ขัดใจ ต้องการที่จะให้มีคนอยู่ใกล้ๆชอบที่จะซุกเข้าอกผู้ใหญ่
❤วิธีการตอบสนองความต้องการ พ่อแม่↷ควรให้เวลาดูแลเอาใจใส่ใกล้ชิดรับฟัง ข้อคิดต่างๆ ครู↷ควรอบสั่งสอนปลูกฝังคุณธรรมให้เด็ก
ด้านสังคม ↦ ต้องการยอมรับ ต้องการการเลียนแบบ ต้องการการสนใจ
❤วิธีการตอบสนองความต้องการ พ่อแม่↷ควรปลูกฝังและชี้แนะให้เด็กแต่สิ่งดีๆ ครู↷ควรสังเกตและบันทึกพฤติกรรมของเด็กเพื่อส่งเสริมเด็กให้มีความร่วมมือกับพ่อแม่และคุณครู
ด้านสติปัญญา ↦ เด็กอยากรู้อยากเห็น สงสัย ต้องการสร้างจินตนาการหาเหตุผล
❤วิธีการตอบสนองความต้องการ พ่อแม่↷ส่งเสริมให้เด็กมีปฏิสัมพันธ์กับบุคคลในหลายวัย ครู↷จัดเกมการศึกษาให้หลากหลาย เปิดโอกาสให้เด็กได้คิดและแสดงความคิดเห็น
เด็กปฐมวัยเป็นวัยเริ่มต้นของชีวิตที่มีความสำคัญอย่างยิ่งต่อการพัฒนาความเป็นมนุษย์การสร้างรากฐานที่ทางร่างกายและจิตใจให้กับเด็กในวันนี้จึงเป็นสิ่งจาเป็นโดยเฉพาะช่วงอายุแรกเกิดถึง6 ปี เป็นระยะ ที่มีความสำคัญช่วงหนึ่งในการวางรากฐานคุณภาพชีวิตของเด็กด้วยเหตุที่เด็กปฐมวัยธรรมชาติและลักษณะเฉพาะที่แตกต่างไปจากบุคคลวัยอื่นๆ
ความต้องการ ความต้องการเป็นสิ่งจำเป็นสำหรับการดำรงชีวิต
ความต้องการเกิดขึ้นเมื่อร่างกายขาดความสมดุล ซึ่งเป็นสาเหตุสำคัญที่ทำให้ร่างกายเกิดความเครียด
ไม่เป็นสุข ดังนั้นร่างกายจึงต้องมีการกระทำเกิดขึ้นเพื่อให้ร่างกายกลับสู่สภาวะสมดุลตามปกติ
หลังจากกลุ่มหนูได้นำเสนอเสร็จอาจารย์บาสก็ถามว่าความต้องการของเด็กปฐมวัยมีอะไรบ้าง คือพัฒนาการการของเด็กปฐมวัยทั้ง 4 ด้าน ด้านร่างกาย อารมณ์-จิตใจ สังคม สติปัญญา
และได้ให้คำแนะนำกลุ่มหนูว่าให้อธิบายเพิ่มเติมนอกจากที่เราเขียนใส่กระดาษได้จะได้เข้าใจมากยิ่งขึ้น กลุ่มอื่นๆได้นำเสนอเรื่อยๆและระหว่างที่เพื่อนออกมานำเสนออาจารย์ให้เพื่อนคนอื่นๆออกมาลิงค์ BLOGGER เพื่อนทุกคนนำเสนอเสร็จอาจารย์บาสก็ได้สรุปให้ฟังอย่างเข้าใจ![]() |
ลิงค์ BLOGGER |
![]() |
บรรยากาศในห้องเรียน |
❤ความรู้เพิ่มเติม❤
สาระการเรียนรู้ มี 4 สาระดังนี้
สาระที่ 1 เรื่องราวเกี่ยวกับตัวเด็ก เด็กควรรู้จักชื่อ นามสกุล รูปร่าง หน้าตาของตน รู้จักอวัยวะต่างๆ และวิธีระวังรักษาร่างกายให้สะอาด ปลอดภัย มีสุขอนามัยที่ดี เรียนรู้ที่จะเล่นและ ทำสิ่งต่างๆด้วยตนเองคนเดียวหรือกับผู้อื่น ตลอดจนเรียนรู้ที่จะแสดงความคิดเห็น ความรู้สึก และแสดงมารยาทที่ดี
สาระที่ 2 เรื่องราวเกี่ยวกับบุคคลและสถานที่แวดล้อมเด็ก เด็กควรได้มีโอกาสรู้จักและรับรู้เรื่องราวเกี่ยวกับครอบครัว สถานศึกษา ชุมชน รวมทั้งบุคคลต่างๆที่เด็กต้องเกี่ยวข้องหรือมีโอกาสใกล้ชิดและมีปฏิสัมพันธ์ในชีวิตประจำวัน
สาระที่ 3 ธรรมชาติรอบตัว เด็กควรจะได้รู้จักสิ่งมีชีวิตที่เป็นต้นไม้ ดอกไม้ สัตว์ รวมทั้งความเปลี่ยนแปลงของโลกที่แวดล้อมเด็กตามธรรมชาติ
สาระที่ 4 สิ่งต่างๆ รอบตัวเด็ก เด็กควรจะได้รู้จักสิ่งของเครื่องใช้ ยานพาหนะและการสื่อสารต่างๆ ที่ใช้อยู่ในชีวิตประจำวันของเด็ก
อาจารย์บาสให้ออกมานำเสนอนักทฤษฏีที่แต่ละกลุ่มจับฉลากได้ กลุ่มแรกนำเสนอทฤษฎีพัฒนาการทางสติปัญญาของเพียเจต์
☝ทฤษฎีพัฒนาการทางสติปัญญาของเพียเจต์
เพียเจต์ (Piaget) ได้ศึกษาเกี่ยวกับพัฒนาการทางด้านความคิดของเด็กว่ามีขั้นตอนหรือกระบวนการอย่างไร ทฤษฎีของเพียเจต์ตั้งอยู่บนรากฐานของทั้งองค์ประกอบที่เป็นพันธุกรรม และสิ่งแวดล้อม เขาอธิบายว่า การเรียนรู้ของเด็กเป็นไปตามพัฒนาการทางสติปัญญา ซึ่งจะมีพัฒนาการไปตามวัยต่าง ๆ เป็นลำดับขั้น พัฒนาการเป็นสิ่งที่เป็นไปตามธรรมชาติ ไม่ควรที่จะเร่งเด็กให้ข้ามจากพัฒนาการจากขั้นหนึ่งไปสู่อีกขั้นหนึ่ง เพราะจะทำให้เกิดผลเสียแก่เด็ก แต่การจัดประสบการณ์ส่งเสริมพัฒนาการของเด็กในช่วงที่เด็กกำลังจะพัฒนาไปสู่ขั้นที่สูงกว่า สามารถช่วยให้เด็กพัฒนาไปอย่างรวดเร็ว อย่างไรก็ตาม เพียเจต์เน้นความสำคัญของการเข้าใจธรรมชาติและพัฒนาการของเด็กมากกว่าการกระตุ้นเด็กให้มีพัฒนาการเร็วขึ้น เพียเจต์สรุปว่า พัฒนาการของเด็กสามารถอธิบายได้โดยลำดับระยะพัฒนาทางชีววิทยาที่คงที่ แสดงให้ปรากฏโดยปฏิสัมพันธ์ของเด็กกับสิ่งแวดล้อม
ทฤษฎีการเรียนรู้
ทฤษฎีพัฒนาการทางสติปัญญาของเพียเจต์ มีสาระสรุปได้ดังนี้ พัฒนาการทางสติปัญญาของบุคคลเป็นไปตามวัยต่าง ๆ เป็นลำดับขั้น ดังนี้
1.ขั้นประสาทรับรู้และการเคลื่อนไหว (Sensori-Motor Stage) ขั้นนี้เริ่มตั้งแต่แรกเกิดจนถึง 2 ปี พฤติกรรมของเด็กในวัยนี้ขึ้นอยู่กับการเคลื่อนไหวเป็นส่วนใหญ่ เช่น การไขว่คว้า การเคลื่อนไหว การมอง การดู ในวัยนี้เด็กแสดงออกทางด้านร่างกายให้เห็นว่ามีสติปัญญาด้วยการกระทำ เด็กสามารถแก้ปัญหาได้ แม้ว่าจะไม่สามารถอธิบายได้ด้วยคำพูด เด็กจะต้องมีโอกาสที่จะปะทะกับสิ่งแวดล้อมด้วยตนเอง ซึ่งถือว่าเป็นสิ่งจำเป็นสำหรับพัฒนาการด้านสติปัญญาและความคิดในขั้นนี้ มีความคิดความเข้าใจของเด็กจะก้าวหน้าอย่างรวดเร็ว เช่น สามารถประสานงานระหว่างกล้ามเนื้อมือ และสายตา เด็กในวัยนี้มักจะทำอะไรซ้ำบ่อยๆ เป็นการเลียนแบบ พยายามแก้ปัญหาแบบลองผิดลองถูก เมื่อสิ้นสุดระยะนี้เด็กจะมีการแสดงออกของพฤติกรรมอย่างมีจุดมุ่งหมายและสามารถแก้ปัญหาโดยการเปลี่ยนวิธีการต่าง ๆ เพื่อให้ได้สิ่งที่ต้องการแต่กิจกรรมการคิดของเด็กวัยนี้ส่วนใหญ่ยังคงอยู่เฉพาะสิ่งที่สามารถสัมผัสได้เท่านั้น
2.ขั้นก่อนปฏิบัติการคิด (Preoperational Stage) ขั้นนี้เริ่มตั้งแต่อายุ 2-7 ปี แบ่งออกเป็นขั้นย่อยอีก 2 ขั้น คือ ✌ขั้นก่อนเกิดสังกัป (Preconceptual Thought) เป็นขั้นพัฒนาการของเด็กอายุ 2-4 ปี เป็นช่วงที่เด็กเริ่มมีเหตุผลเบื้องต้น สามารถจะโยงความสัมพันธ์ระหว่างเหตุการณ์ 2 เหตุการณ์ หรือมากกว่ามาเป็นเหตุผลเกี่ยวโยงซึ่งกันและกัน แต่เหตุผลของเด็กวัยนี้ยังมีขอบเขตจำกัดอยู่ เพราะเด็กยังคงยึดตนเองเป็นศูนย์กลาง คือถือความคิดตนเองเป็นใหญ่ และมองไม่เห็นเหตุผลของผู้อื่น ความคิดและเหตุผลของเด็กวัยนี้ จึงไม่ค่อยถูกต้องตามความเป็นจริงนัก นอกจากนี้ความเข้าใจต่อสิ่งต่างๆ ยังคงอยู่ในระดับเบื้องต้น เช่น เข้าใจว่าเด็กหญิง 2 คน ชื่อเหมือนกัน จะมีทุกอย่างเหมือนกันหมด แสดงว่าความคิดรวบยอดของเด็กวัยนี้ยังไม่พัฒนาเต็มที่ แต่พัฒนาการทางภาษาของเด็กเจริญรวดเร็วมาก ✌ ขั้นการคิดแบบญาณหยั่งรู้ นึกออกเองโดยไม่ใช้เหตุผล (Intuitive Thought) เป็นขั้นพัฒนาการของเด็ก อายุ 4-7 ปี ขั้นนี้เด็กจะเกิดความคิดรวบยอดเกี่ยวกับสิ่งต่างๆ รวมตัวดีขึ้น รู้จักแยกประเภทและแยกชิ้นส่วนของวัตถุ เข้าใจความหมายของจำนวนเลข เริ่มมีพัฒนาการเกี่ยวกับการอนุรักษ์ แต่ไม่แจ่มชัดนัก สามารถแก้ปัญหาเฉพาะหน้าได้โดยไม่คิดเตรียมล่วงหน้าไว้ก่อน รู้จักนำความรู้ในสิ่งหนึ่งไปอธิบายหรือแก้ปัญหาอื่นและสามารถนำเหตุผลทั่วๆ ไปมาสรุปแก้ปัญหา
3. ขั้นปฏิบัติการคิดด้านรูปธรรม (Concrete Operation Stage) ขั้นนี้จะเริ่มจากอายุ 7-11 ปี พัฒนาการทางด้านสติปัญญาและความคิดของเด็กวัยนี้สามารถสร้างกฎเกณฑ์และตั้งเกณฑ์ในการแบ่งสิ่งแวดล้อมออกเป็นหมวดหมู่ได้ เด็กวัยนี้สามารถที่จะเข้าใจเหตุผล รู้จักการแก้ปัญหาสิ่งต่างๆ ที่เป็นรูปธรรมได้ สามารถที่จะเข้าใจเกี่ยวกับเรื่องความคงตัวของสิ่งต่างๆ โดยที่เด็กเข้าใจว่าของแข็งหรือของเหลวจำนวนหนึ่งแม้ว่าจะเปลี่ยนรูปร่างไปก็ยังมีน้ำหนัก หรือปริมาตรเท่าเดิม สามารถที่จะเข้าใจความสัมพันธ์ของส่วนย่อย ส่วนรวม ลักษณะเด่นของเด็กวัยนี้คือ ความสามารถในการคิดย้อนกลับ นอกจากนั้นความสามารถในการจำของเด็กในช่วงนี้มีประสิทธิภาพขึ้น สามารถจัดกลุ่มหรือจัดการได้อย่างสมบูรณ์ สามารถสนทนากับบุคคลอื่นและเข้าใจความคิดของผู้อื่นได้ดี
4.ขั้นปฏิบัติการคิดด้วยนามธรรม (Formal Operational Stage) นี้จะเริ่มจากอายุ 11-15 ปี ในขั้นนี้พัฒนาการทางสติปัญญาและความคิดของเด็กวัยนี้เป็นขั้นสุดยอด คือเด็กในวัยนี้จะเริ่มคิดแบบผู้ใหญ่ ความคิดแบบเด็กจะสิ้นสุดลง เด็กจะสามารถที่จะคิดหาเหตุผลนอกเหนือไปจากข้อมูลที่มีอยู่ สามารถที่จะคิดแบบนักวิทยาศาสตร์ สามารถที่จะตั้งสมมุติฐานและทฤษฎี และเห็นว่าความเป็นจริงที่เห็นด้วยการรับรู้ที่สำคัญเท่ากับความคิดกับสิ่งที่อาจจะเป็นไปได้ เด็กวัยนี้มีความคิดนอกเหนือไปกว่าสิ่งปัจจุบัน สนใจที่จะสร้างทฤษฎีเกี่ยวกับทุกสิ่งทุกอย่างและมีความพอใจที่จะคิดพิจารณาเกี่ยวกับสิ่งที่ไม่มีตัวตน หรือสิ่งที่เป็นนามธรรมพัฒนาการทางการรู้คิดของเด็กในช่วงอายุ 6 ปีแรกของชีวิต ซึ่งเพียเจต์ ได้ศึกษาไว้เป็นประสบการณ์ สำคัญที่เด็กควรได้รับการส่งเสริม มี 6 ขั้น ได้แก่
1. ขั้นความรู้แตกต่าง (Absolute Differences) เด็กเริ่มรับรู้ในความแตกต่างของสิ่งของที่มองเห็น
2. ขั้นรู้สิ่งตรงกันข้าม (Opposition) ขั้นนี้เด็กรู้ว่าของต่างๆ มีลักษณะตรงกันข้ามเป็น 2 ด้าน เช่น มี-ไม่มี หรือ เล็ก-ใหญ่ 3. ขั้นรู้หลายระดับ (Discrete Degree) เด็กเริ่มรู้จักคิดสิ่งที่เกี่ยวกับลักษณะที่อยู่ตรงกลางระหว่างปลายสุดสองปลาย เช่น ปานกลาง น้อย
4. ขั้นความเปลี่ยนแปลงต่อเนื่อง (Variation) เด็กสามารถเข้าใจเกี่ยวกับการเปลี่ยนแปลงของสิ่งต่างๆ เช่น บอกถึงความเจริญเติบโตของต้นไม้
5. ขั้นรู้ผลของการกระทำ (Function) ในขั้นนี้เด็กจะเข้าใจถึงความสัมพันธ์ของการเปลี่ยนแปลง
6. ขั้นการทดแทนอย่างลงตัว (Exact Compensation) เด็กจะรู้ว่าการกระทำให้ของสิ่งหนึ่งเปลี่ยนแปลงย่อมมีผลต่ออีกสิ่งหนึ่งอย่างทัดเทียมกัน
ภาษาและกระบวนการคิดของเด็กแตกต่างจากผู้ใหญ่
กระบวนการทางสติปัญญามีลักษณะดังนี้ -การซึมซับหรือการดูดซึม (assimilation) เป็นกระบวนการทางสมองในการรับประสบการณ์ เรื่องราว และข้อมูลต่าง ๆ เข้ามาสะสมเก็บไว้เพื่อใช้ประโยชน์ต่อไป -การปรับและจัดระบบ (accommodation) คือ กระบวนการทางสมองในการปรับประสบการณ์เดิมและประสบการณ์ใหม่ให้เข้ากันเป็นระบบหรือเครือข่ายทางปัญญาที่ตนสามารถเข้าใจได้ เกิดเป็นโครงสร้างทางปัญญาใหม่ขึ้น -การเกิดความสมดุล (equilibration) เป็นกระบวนการที่เกิดขึ้นจากขั้นของการปรับ หากการปรับเป็นไปอย่างผสมผสานกลมกลืนก็จะก่อให้เกิดสภาพที่มีความสมดุลขึ้น หากบุคคลไม่สามารถปรับประสบการณ์ใหม่และประสบการณ์เดิมให้เข้ากันได้ ก็จะเกิดภาวะความไม่สมดุลขึ้น ซึ่งจะก่อให้เกิดความขัดแย้งทางปัญญาขึ้นในตัวบุคคล
การนำไปใช้ในการจัดการศึกษา / การสอน
เมื่อทำงานกับนักเรียน ผู้สอนควรคำนึงถึงพัฒนาการทางสติปํญญาของนักเรียนดังต่อไปนี้
- นักเรียนที่มีอายุเท่ากันอาจมีขั้นพัฒนาการทางสติปัญญาที่แตกต่างกัน ดังนั้นจึงไม่ควรเปรียบเทียบเด็ก ควรให้เด็กมีอิสระที่จะเรียนรู้และพัฒนาความสามารถของเขาไปตามระดับพัฒนาการของเขา นักเรียนแต่ละคนจะได้รับประสบการณ์ 2 แบบคือ
- ประสบการณ์ทางกายภาพ (physical experiences) จะเกิดขึ้นเมื่อนักเรียนแต่ละคนได้ปฏิสัมพันธ์กับวัตถุต่าง ในสภาพแวดล้อมโดยตรง
ประสบการณ์ทางตรรกศาสตร์ (Logicomathematical experiences) จะเกิดขึ้นเมื่อนักเรียนได้พัฒนาโครงสร้างทางสติปัญญาให้ความคิดรวบยอดที่เป็นนามธรรม - หลักสูตรที่สร้างขึ้นบนพื้นฐานทฤษฎีพัฒนาการทางสติปัญญาของเพียเจต์ ควรมีลักษณะดังต่อไปนี้คือ
-เน้นพัฒนาการทางสติปัญญาของผู้เรียนโดยต้องเน้นให้นักเรียนใช้ศักยภาพของตนเองให้มากที่สุด
-เสนอการเรียนการเสนอที่ให้ผู้เรียนพบกับความแปลกใหม่
-เน้นการเรียนรู้ต้องอาศัยกิจกรรมการค้นพบ
-เน้นกิจกรรมการสำรวจและการเพิ่มขยายความคิดในระหว่างการเรียนการสอน
-ใช้กิจกรรมขัดแย้ง (cognitive conflict activities) โดยการรับฟังความคิดเห็นของผู้อื่นนอกเหนือจากความคิดเห็นของตนเอง - การสอนที่ส่งเสริมพัฒนาการทางสติปัญญาของผู้เรียนควรดำเนินการดังต่อไปนี้
-ถามคำถามมากกว่าการให้คำตอบ
-ครูผู้สอนควรจะพูดให้น้อยลง และฟังให้มากขึ้น
-ควรให้เสรีภาพแก่นักเรียนที่จะเลือกเรียนกิจกรรมต่าง ๆ
-เมื่อนักเรียนให้เหตุผลผิด ควรถามคำถามหรือจัดประสบการณ์ให้นักเรียนใหม่ เพื่อนักเรียนจะได้แก้ไขข้อผิดพลาดด้วยตนเอง
-ชี้ระดับพัฒนาการทางสติปัญญาของนักเรียนจากงานพัฒนาการทางสติปัญญาขั้นนามธรรมหรือจากงานการอนุรักษ์ เพื่อดูว่านักเรียนคิดอย่างไร
-ยอมรับความจริงที่ว่า นักเรียนแต่ละคนมีอัตราพัฒนาการทางสติปัญญาที่แตกต่างกัน
-ผู้สอนต้องเข้าใจว่านักเรียนมีความสามารถเพิ่มขึ้นในระดับความคิดขั้นต่อไป
-ตระหนักว่าการเรียนรู้ที่เกิดขึ้นเพราะจดจำมากกว่าที่จะเข้าใจ เป็นการเรียนรู้ที่ไม่แท้จริง (pseudo learning) - ในขั้นประเมินผล ควรดำเนินการสอนต่อไปนี้
-มีการทดสอบแบบการให้เหตุผลของนักเรียน
-พยายามให้นักเรียนแสดงเหตุผลในการตอนคำถามนั้น ๆ
-ต้องช่วยเหลือนักเรียนทีมีพัฒนาการทางสติปัญญาต่ำกว่าเพื่อร่วมชั้น
![]() |
บรรยากาศเพื่อนๆนำเสนอ |
กลุ่มแรกได้นำเสนอเสร็จ อาจารย์บาสก็จะถามว่าจบแล้วเป็นยังไงให้ทุกคนเสนอหรือแนะนำ ดีหรือไม่ดีอย่างไร เพิ่มเติมอะไรบ้าง บางคนกฌตอบว่านำเสนอดี เสียงน่าฟัง นำเสนอได้หลากหลายรูปแบบดีมาก อาจารย์ก็ให้คำแนะนำเพิ่มเสียงขึ้น ทุกอย่างโอเค ภาพสอดคล้องกับคำพูดแต่มีบางภาพที่อาจจะไม่ได้สอดคล้องมาก สิ่งที่ควรจะมีชื่อผู้ทำ ภาพประกอบของตัวเอง
ประเมินตนเอง ⇰ วันนี้ได้ออกไปนำเสนอทำให้ตนเองได้กล้าแสดงออกมากขึ้นและได้ความรู้เกี่ยวกับทฤษฎีพัฒนาการทางสติปัญญาของเพียเจต์จากที่เพื่อนๆได้นำเสนอ สิ่งที่ประทับใจคือได้ดาวเด็กดี 2 ดวง☺
ประเมินเพื่อนร่วมห้อง ⇰ เพื่อนๆทุกคนได้ออกไปนำเสนอและได้ตั้งใจทำมาอย่างดี
ประเมินอาจารย์ ⇰ วันนี้อาจารย์บาสสอนและสรุปให้เข้าใจดีมากและตั้งใจสอนเหมือนทุกครั้งที่ผ่านมา อธิบายได้ดีมาก
ความคิดเห็น
แสดงความคิดเห็น